วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาพตัวอย่างการดูDVRออนไลน์

clip_image002

clip_image002[5]

clip_image002[7]

 

clip_image002[9]

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัวอย่างภาพจาก Software milestone IP Camera

image

 

 

image

 

image

การเลือกระบบกล้องวงจรปิด

 

1. ตัวกล้อง (Camera) และ อุปกรณ์ประกอบ(Housing,Adapter)
- มีเยอะมากในท้องตลาด จะเลือกอันไหนดี 
2. เครื่องบันทึกภาพ (DVR)
- เยอะแยะไปหมดใช้งานยังไง
3. สายสัญญาณ (Cable)
- การติดตั้งระยะใกล้ หรือ ไกล
4. การติดตั้ง มาตรฐานการติดตั้ง (Install – Configuration)
- เดินท่อร้อยสาย เดินลอย
5. ราคา (Price)
- ราคาถูก
- ราคาปานกลาง
- ราคาแพง
6. การบริการหลังการขาย (Service)
- มี
- ไม่มี
ในบทความถัดไปผมจะมาเจาะรายละเอียดแต่ละหัวข้อให้ฟัง

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ข้อมูลการติดต่อทีมงาน

 

สนใจ ปรึกษา สอบถาม ข้อมูล เรื่องการวางระบบ
- บริการให้คำปรึกษาออกแบบ ระบบกล้องวงจรปิด งานโปรเจค ขนาดใหญ่ ทั้ง เดินสายและ ไร้สาย (Fiber Optic Network CCTV Project) , (Wireless Network CCTV Project)
- บริการ รับเหมา ติดตั้งวางระบบกล้องวงจรปิด โครงการขนาดใหญ่
- บริการ ซ่อมบำรุงระบบกล้องวงจรปิด งานโครงการ
- บริการรับเหมา ติดตั้ง ระบบไฟฟ้าภายใน ภายนอกอาคาร งานโครงการ

image

การทดสอบตั้งค่ากล้อง IP Cam

อันนี้เป็นรุปการทดสอบและตั้งค่ากล้อง IP Cam จาก Axis ครับ

image

Private mark

image

 

Software configuration

image

 

Client live

 

เด่วต่อไปจะสอนการใช้งานเบื้องต้น ครับ ในบทความถัดไป

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

EMC คืออะไรใครรู้บ้าง 2

EMC หัวข้อที่วิศวกร(ทุกสาขา)พึงต้องรู้ (ตอนที่ 2)

เสียงสะท้อนจากพี่ๆ น้องๆ บอกว่าอย่าเขียนในเรื่องที่หนักไป ให้เบาๆ เหมือนปุยนุ่นหน่อย ครับต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับการแสดงข้อคิดเห็น อย่างน้อยแสดงว่ามีคนอ่านบ้าง จริงไหมท่าน ฉะนั้นฉบับนี้คงไม่เครียดนะท่าน

เราจะมาว่าต่อในบทความตอนที่สอง คือเรื่องการออกแบบและแนวทางการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้าน EMC ต่อสิ่งแวดล้อมและกรณีศึกษาผลกระทบด้าน EMC ประเด็นนี้หากจะว่าไปก็เช่นคำภาษิตที่ว่า คิดก่อนทำ นั่นแหละท่าน ฉะนั้นหากจะบอกว่าในกระบวนการออกแบบเจ้าเครื่องมือ หรือระบบทางไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีคาถาอย่างน้อยสองข้อว่า Safety และก็ EMCTechnology อยู่ด้วยเสมอ ที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะหลายๆ กฎระเบียบด้าน EMC ในปัจจุบัน เริ่มถือเป็นข้อบังคับใช้แล้ว จะมาอย่างแบบ ส.ว.ว่าผมม่ายรู้ ม่ายได้นะท่าน แล้วอะไรละคือ EMC Technology

ในตอนที่แล้ว เกล้ากระผมได้บอกว่า EMC ประกอบด้วยส่วนสำคัญอยู่สามส่วน คือส่วนแรกแหล่งกำเนิดสัญญาณรบกวน (EMIsource) ส่วนที่สองคือส่วนที่ได้รับผลกระทบผลของ EMI หรือบางครั้งอาจเรียกว่าแหล่งรับสัญญาณรบกวน (receptor) และส่วนที่สามคือการเชื่อมต่อระหว่างสองส่วนแรก (coupling) ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น ส่วนเชื่อมต่อแบบ conduction อันนี้จะเป็นอะไรก็ได้ที่ใช้ตัวนำเป็นสื่อ เช่น ระบบสายเมน สายดิน สายควบคุม หรือสายผ่านโมเด็ม ได้ทั้งสิ้น ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะแผ่กระจายผ่านตัวกลางทางอากาศ เรียกว่าเป็นการเชื่อมต่อแบบ radiation เจ้า EMC Technology ก็คือ อย่างที่หนึ่ง ลดระดับ Noise ที่ต้นเหตุ อย่างที่สอง เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ receptor และอย่างที่สามอย่างสุดท้าย คือการทำให้สัญญาณที่ต้องการใช้เชื่อมต่อ สะอาดปราศจากสัญญาณรบกวนที่ไม่ต้องการ หรือป้องกันไม่ให้สัญญาณที่ไม่พึงประสงค์ผ่านเข้ามาได้

วิธีการที่จะลดระดับ Noise ก็ด้วยวิธีเช่น ลดขนาดสัญญาณลงลดความถี่ลง รวมถึงการออกแบบให้ rising time และ falling timeมากขึ้น อย่างนี้พระท่านว่าจะทำใหักิเลสน้อยลง หรือ สัญญาIรบกวน (EMI) น้อยลง

วิธีการข้อที่สองก็คือออกแบบให้ระบบมีภูมิคุ้มกันให้มากขึ้นหรือต้องฉีดยาป้องกันได้ให้มีภูมิคุ้มกันพอจะทนฟ้าทนฝนได้นั่นแหละท่าน ยกตัวอย่างเครื่องมือของท่านอาจติด MOV (Metal Oxide Varistor) เพื่อป้องกันแรงดัน เสริ์จ (surge) ที่เป็นผลมาจากฟ้าผ่า ให้ทนและรักษาเครื่องมือให้ทำงานได้ ไม่เจ็บไม่ไข้ไปเสียก่อน

ปัจจัยที่สามก็คือ หากมี EMI มาตามสายตัวนำแล้วละก้อ เอาหลวงพ่อ filter มาเป็นยา กรองให้เฉพาะสัญญาณที่สะอาดแล้วเท่านั้นผ่านไปสู่เครื่องมือของท่านได้ แต่หากว่าเจ้า EMI นี้แผ่คลื่นไปทางอากาศจะทำอย่างไร ก็เอาหลวงพ่อกำบังคลื่นมาเป็นยันต์กันสิ่งชั่วร้ายผ่านไปสิท่าน นั่นคือต้องออกแบบระบบ shieding ซึ่งมีเทคโนโลยีการดูดกลืน และสะท้อนพลังงานแล้วแต่จะออกแบบ อ่านดูเข้าใจยากมั้ยท่าน

ต้องดูรูปนี้ประกอบไปด้วย

ผมนึกออกแล้ว ผมจะเสนอมุมมองของ EMC technology ที่สัมพันธ์กับโอวาทปาติโมกข์ เพราะหลักการควบคุม EMC ช่างสอดคล้องและสัมพันธ์กันเสียนี่กระไร ก่อนอื่นถามว่าใครไม่รู้จักโอวาทปาติโมกข์ โปรดยกมือขึ้น (เอ้า ลือชา เห็นว่าเข้าวัดบ่อยไง ไฉนจึงยกมืออยู่เล่า) แหมผมว่าแท้ที่จริงแล้วทุกท่านรู้ดี เพียงแต่นึกไม่ออกเท่านั้นเอง จริงไม๊ท่าน หัวใจของโอวาทปาติโมกข์คือ ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้ผองแผ้ว (จริงๆ มีอยู่หลายข้อ แต่สรุปเป็นสามหมวดนะท่าน) ท่านลองเปรียบเทียบตารางนี้ดูซิท่าน

ว้าว… ดูเหมือนจะเข้ากันได้เหมาะเจาะอะไรขนาดนี้ ต่อไปนี้ท่านคงจะได้เห็นแนวทางธรรมกับทางวิศวกรรมแล้วว่าไปด้วยกันได้ผมอยากจะขมวดประเด็นการควบคุมด้าน EMC ด้วยรูปๆ หนึ่ง เชื่อว่าจะช่วยละความแตกต่างกันระหว่างเถ้าแก่กับวิศวกรได้ (ท่านวิรัตน์ รุ่น 17 ตะโกนว่า จะไปยากอะไร ก็เป็นลูกเขยเถ้าแก่ก็หมดเรื่อง ยอด…สุดยอดเลยท่าน) ลองดูรูปต่อไปนี้นะท่าน

ส่วนสำคัญของรูปนี้ประกอบไปด้วยสองส่วนที่น่าสนใจคือขีดจำกัดที่สัญญาณรบกวนที่ปล่อยออกมา (emission limit) ทั้งมาตามสายและแผ่มาทางอากาศ คือเป็นตัวที่กำหนดว่าระดับ EMI ต้องออกแบบมาให้ต่ำกว่าแนวเส้นนี้เสมอ คือเป็นข้อกำหนดว่าใครจะสร้าง EMI ขึ้นมาก็ยอมให้เกิดขึ้นได้แต่ต้องไมให้เกินขีดนี้นะ เหมือนขีดจำกัดไอเสียรถยนต์นั่นแหละท่าน จุดนี้เถ้าแก่มักจะกำหนดให้ emission level ที่จะปล่อยออกมาปริ่มๆ หรือใกล้ๆ กับ emission limit ยิ่งใกล้หมายถึงค่าใช้จ่ายที่ถูก ในขณะที่วิศวกรคุณภาพอย่างท่านพี่ท่านน้องทั้งหลายบอกว่า emission level ควรจะต้องต่ำกว่า emission limit มากๆ จะทำให้ผลเสียน้อย ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมีน้อย แต่อาจต้องจ่ายแพงขึ้น trade off อย่างนี้เลย จำต้องมีเวทีที่เถ้าแก่ และวิศวกรต้องคุยกัน ก่อนออกแบบ หรือวางแผนการผลิต

ด้านขีดจำกัดภูมิคุ้มกัน lmmunity limit ก็เช่นกัน ปกติเครื่องมือที่ได้มาตรฐานมักจะมีเจ้า lmmunity limit เพื่อรับรองว่าจะไม่เดี้ยงก่อนเวลาอันควร เมื่อมี EMI ไม่พึงประสงค์เข้ามา เถ้าแก่ก็มักจะมีนโยบายประหยัด จึงเลือกให้เจ้า MOV ที่มีค่า lmmunity level สูงกว่า lmmunity limit เล็กน้อย เมื่อเวลาผ่านไปสักสองฤดูฝน ค่าlmmunity level อาจเปลี่ยนไป เช่นลดต่ำกว่า lmmunity limit ก็เป็นได้ ทำให้อาจเกิดความเสียหายหรือไม่น่าเชื่อถือขึ้น มวลเหล่าวิศวกรทั้งหลายพึงหลีกเลี่ยงปัญหานี้ (กลัวถูกด่ามากกว่า) ก็โดยการเลือกให้ระดับภูมิคุ้มกันมีค่าสูง (high Immunity level) แต่ต้องจ่ายมากขึ้น

สรุปได้ว่าเรา หัวใจของ EMC technjology กับหัวใจของโอวาทปาติโมกข์นั้นเข้ากันได้ (Compatibility) นะท่าน ส่วนในบทความตอนต่อไปอันเป็นที่สามจะเป็นเรื่องมาตรฐานและข้อกำหนดด้าน EMC ระหว่างประเทศ และของไทย รวมถึงการศึกษาวิจัยและบริการด้านการทดสอบ EMC ในประเทศไทย ลองกัดฟันติดตามดูนะท่าน

วันที่บทความ : 07 เม.ย. 2544 ที่มา : ผศ.ดร. วีระเชษฐ์ ขันเงิน

เครดิต: www.kmitl.com/article.php?articlecat=3&articleid=10

EMC คืออะไรใครรู้บ้าง 1

EMC หัวข้อที่วิศวกร (ทุกสาขา) พึงต้องรู้ (ต่อ) EMC Tips สำหรับการออกแบบเพื่อแก้ปัญหา EMI

ท่านครับ ผมจะปิดท้ายในบทความชุดนี้ ในตอนนี้อันเป็นตอนที่สี่ (ตอนจบ) จะเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตของไทยหาเส้นทางพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยเน้นถึง EMC tips ในการศึกษาเป้าหมายการตลาด เพื่อมุ่งเข้าสู่มาตรฐาน EMC ระหว่างประเทศร่วมกับมาตรฐานอื่นที่สอดคล้อง เพื่อการส่งออกและยกระดับมาตรฐานสินค้าของไทยสู่สากลให้ได้

การแก้ปัญหาการออกแบบด้าน EMC สำหรับผู้ผลิต


ในบทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้การออกแบบและเสริมเทคนิคแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ EMC จะได้แก้ปัญหาได้ถูกต้องและเร็วขึ้น

แนวทางการแก้ปัญหาด้าน EMC


* แหล่งรบกวน ต้องหาทางไม่ส่งสัญญาณรบกวนเกินขีดจำกัด
* แหล่งรับสัญญาณ มีระบบป้องกันหรือลดทอนสัญญาณ
* ทางเชื่อมต่อ Containment โดยการชีลด์และกรองสัญญาณรบกวนที่ดี

ตัวอย่างหลักเกณฑ์การลดผลของ EMI เช่น


1. ใช้สายสั้นที่สุด เพื่อลดผลของค่าความเหนี่ยวนำให้ต่ำที่สุด การที่เราลดค่าความเหนี่ยวนำนี้ ช่วยลดผลการเกิดสัญญาณรบกวนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสต่อเวลา ตามกฎของฟาราเดย์อย่างไรล่ะท่าน
2. ตีเกลียวสาย เพื่อให้กระแสมีทิศทางตรงข้ามกันอย่างสม่ำเสมอและยังจะลดผลของสนามแม่เหล็กลงด้วย ข้อสำคัญพยายามทำให้พื้นที่กระแสไหลนั้น (loop area) ต้องมีขนาดเล็กที่สุด นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้วงจรการทำงานของท่านสร้างปัญหาให้กับชาวประชาเขา แถมยังได้รับสัญญาณจากชาวบ้านเขาได้แบบง่ายๆ อีกท่าน
3. การเลือกค่าอุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องคัดพิเศษหน่อยท่าน เป็นต้นว่าหากจะเลือกตัวคาปาซิเตอร์ (capacitor) ก็ต้องเลือกค่าต้องมีค่า equivalent series resistance (ESR) ต่ำที่สุด การคำนึงย่านความถี่ที่ใช้งานก็เป็นประเด็นที่สำคัญ เช่น หากจะใช้งานในย่านความถี่สูงๆ อย่าลืมนึกถึงตัว C ประเภท Polystyrene หรือพวกเซรามิกส์ค่าสูญเสียน้อย พวกอุปกรณ์เหล่านี้ต้องคำนึงถึงค่า parasitic ที่มีแฝงอยู่ในตัวอุปกรณ์นั้นๆ อยู่แล้ว ยิ่งประเภทที่มีค่า self resonant frequency (SRF) สูงเท่าใด (ผลของ
parasitic น้อย) ก็เหมือนกับว่าได้อุปกรณ์ที่ทำงานใกล้อุดมคติมากขึ้นเท่านั้น
4. ลด common impedance เพื่อลดสัญญาณรบกวนที่เกิดจากแหล่งจ่าย เช่นระบบจ่ายไฟฟ้าของวงจรดิจิตอล และอนาลอก ควรแยกออกจากกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าสัญญาณรบกวนก็อาจจะเชื่อมต่อถึงกันได้ สิ่งที่คนอ้วนเข็มขัดสั้น (สิ่งที่คาดไม่ถึง) ก็อาจโผล่มาเยี่ยมท่านอย่างไม่ตั้งใจ
5. แยกสายสัญญาณให้ห่างจากสายกำลัง มีวิศวกรบางท่านโทรมาถามกระผมว่าวงจรควบคุมทำงานสามวันดีสี่วันไข้ เป็นเพราะอะไร หลังจากเสวนาไปหลายพัก ก็เจอว่าท่านได้เดินสายควบคุมอยู่ในท่อเดียวกันกับสายกำลัง ก็อาจจะสันนิษฐานได้ว่ามีการรบกวนอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นมารบกวน และหากสายสัญญาณของวงจรควบคุมไม่มีการชีลด์อย่างดี ก็ย่อมทำให้ได้รับผลของสนามแม่เหล็ก อาจเป็นเหตุให้เกิดอาการป่วยเป็นระยะอย่างที่ว่า ดังนั้นไม่ควรเดินสายกำลังอยู่ในท่อเดียวกันกับสายสัญญาณที่มีความอ่อนไหวของสัญญาณ เช่น สายสัญญาณควบคุม เป็นต้น

รูดม่าน EMC


หลังจากที่ท่านได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ EMC มาสี่ฉากแล้ว โดยในฉากที่หนึ่งผมได้กล่าวถึงความหมายของ EMC พร้อมทั้งปรากฏการณ์และสาเหตุ รวมถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ในฉากที่สองผมได้เสนอการออกแบบและแนวทางการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้าน EMC ต่อสิ่งแวดล้อมและกรณีศึกษาผลกระทบด้าน EMC เช่นจากวงจรอีเล็กทรอนิกส์กำลัง ส่วนในฉากที่สาม ผมได้ยกเอาเรื่องมาตรฐานและข้อกำหนดด้าน EMC ระหว่างประเทศ และของไทยมาเป็นจุดนำเสนอโดยเอาผลการศึกษา วิจัยและบริการด้านการทดสอบ EMC ในประเทศไทยด้วย และปิดท้ายในฉากที่สี่ด้วยการยกตัวอย่าง EMC design tips มาเป็นกรณีศึกษาเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตของไทยหาเส้นทางพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐาน EMC ระหว่างประเทศ ร่วมกับมาตรฐานอื่นที่สอดคล้อง เพื่อการส่งออกและยกระดับมาตรฐานสินค้าของไทยสู่สากลตามที่ผมได้ตั้งปณิธานไว้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านตามสมควรครับท่าน

วันที่บทความ : 01 ต.ค. 2544 ที่มา : ร.อ. ผศ. ดร. วีระเชษฐ์ ขันเงิน

เครดิต : www.kmitl.com/article.php?articlecat=3&articleid=12

EMC คืออะไรใครรู้บ้าง

EMC หัวข้อที่วิศวกร (ทุกสาขา) พึงต้องรู้ เมื่อเถ้าแก่คิดจะส่งออก (ตอนที่ 3)

จากสองตอนที่แล้วเป็นการกล่าวถึงว่า EMC คืออะไร สำคัญอย่างไร มีการเปรียบเทียบหัวใจของ EMC technology กับหัวใจของโอวาทปาติโมกข์ว่าเข้ากันได้อย่าไร ส่วนในบทความตอนนี้อันเป็นตอนที่สามจะเป็นเรื่องที่ช่วยให้เจ้าของกิจการหรือระดับเถ้าแก่เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก มาลองดูซิว่าหากเถ้าแก่และ SME ทั้งหลายจะฮึดขึ้นมาบ้าง พี่ไทยเราอาจจะโกยเงินดอลล่าร์เงินปอนด์ เงินเยนขนใส่ตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งไว้ดูเล่นก็เป็นได้ งั้นเรามาดูกันว่าจะเริ่มจังได๋ และจะทำอย่างไร

สูตรสำเร็จที่ซุนหวู่ปรมาจารย์จีนว่าไว้ “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” (และมีอีกหนึ่งข้อที่คนไม่ค่อยกล่าวถึงคือรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่อย่าดันทุรังให้ถอยหนี) ซึ่งใช้ได้นมนานมาแล้วจวบจนปัจจุบันหากเถ้าแก่จะประยุกต์คำคมของซุนหวูก็คงต้องเดินกลยุทธดังนี้

ค่ายกลที่ 1
สูเจ้าจะต้องศึกษาตลาดว่า ตลอดบอกประเทศอยู่ที่ใดบ้าง มีกฎ กติกา มารยาทอย่างไร

เช่นจะส่ง power supply ไปขายในอังกฤษ มีกติกาอย่างไร เรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องที่ใหญ่เกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง ว่าตั้งแต่เรื่องด้านความปลอดภัย ด้าน EMC ด้าน Low voltage มาตรฐาน ISO 14000, 18000 รวมถึงการกำหนดให้มีมาตรการการจัดขยะผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ การห้ามใช้ตะกั่วในการบัดกรี เป็นต้น และอื่นๆ อีกมากมายว่า ขอเน้นนะครับว่าในแทบทุกประเทศ หรือภูมิภาคจะมีมาตรฐาน EMC เป็นยาขมหรือจะเรียกว่ามาตรการกีดกันทางการค้าด้านเทคโนโลยีขั้นจุกจิก คือมีหลากหลายพอสมควร สรุปว่าต้องรู้ว่า กลุ่มลูกค้า ว่าคือใคร มาจากประเทศใด มีข้อบังคับในด้าน EMC ที่ต้องการหรือไม่ ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเงื่อนไขพิเศษในด้าน EMC หรือไม่

ค่ายกลที่ 2
สูเจ้าจะต้องนำมาตรฐาน EMC มาเป็นปัจจัยในการวางแผนงาน การออกแบบ การพัฒนา การทดสอบ การผลิต และการตรวจรับรองความถูกต้องด้วย

ต้องคิดอย่างนี้ว่า จะหาข้อมูลด้าน EMC ได้จากที่ใดและหาความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ ในด้าน EMC อย่างไร เพื่อพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ ในด้าน EMC และจะเตรียมเครื่องมือและห้องทดสอบเบื้องต้นอย่างไร หน่วยงานด้านอุตสาหกรรมจะมีข้อมูลมาตรฐานด้าน EMC ที่ต้องการจากเช่น European computer Manufacturers Association เป็นต้น

ค่ายกลที่ 3
สูเจ้าจะต้องนำผลิตภัณฑ์มาทำการทดสอบด้าน EMC

การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์จะสำเร็จได้ก็ด้วยการทำทดสอบตามมาตรฐาน หรือโดยการส่งผลการทดสอบ (technical consturction file, TCF) ไปยังหน่วยงานอื่นเพื่อทำการประเมินซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ขนาดของผลิตภัณฑ์ จำนวนและการติดตั้ง เป็นต้น

ดังนั้นจึงต้องเตรียมเครื่องมือและห้องทดสอบเบื้องต้นด้วยการทำทดสอบตามมาตรฐาน หรือโดยการส่งผลการทดสอบ (technical construction file, TCF) ไปยังหน่วยงานอื่นเพื่อทำการประเมินซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลามากขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ขนาดของผลิตภัณฑ์ จำนวนและการติดตั้ง เป็นต้น

การรับรองผลเอง (self certification) เป็นอีกแนวทางหนึ่งนอกเหนือจากวิธีการใช้ TCF นี้ ซึ่งการรับรองผลนี้ง่ายและสะดวกที่จะทำการทดสอบได้เองและรับรองผลเอง หากมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ในการใช้ห้องทดสอบเบื้องต้น (in-house facility) สำหรับทำการทดสอบ กล่าวคือมีความพร้อมด้านเครื่องมือและห้องทดสอบเหมาะสมกับมาตรฐานที่ต้องการ มีความพร้อมด้านบุคลากรมีความพร้อมด้าน QC ในการใช้และบำรุงรักษาเครื่องมือและห้องทดสอบ มีปริมาณงานที่เหมาะสมกับห้องทดสอบเบื้องต้น

โดยห้องทดสอบเบื้องต้นนี้จะมีขีดความสามารถการทดสอบอยู่ 3 ระดับ เริ่มจากขั้นที่1 ที่มีหัวข้อทดสอบไม่มากนัก ในขั้นที่ 2 มีการทดสอบในที่โล่ง (open-area test site, OATS) และในขั้นที่ 3 สามารถยกระดับการทดสอบ และเตรียมสู่ระดับมาตรฐาน ขั้นสูง ต่อไป

ค่ายกลที่ 4
สูเจ้าจะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ของสูเจ้ามีเครื่องหมายรับรองอันเป็นกุญแจดอกหนึ่งสู่ทางสำเร็จของการขายผลิตภัณฑ์

หัวใจของการตลาดอย่างหนึ่งคือการสามารถวางจำหน่ายสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่ เครื่องหมายรับรองที่ผ่านการทดสอบและรับรองตามเงื่อนไขที่กำหนดก็คือกุฌแจดอกสำคัญดอกหนึ่งที่ช่วยไขประตูสู่ความสำเร็จ ในที่นี้จะกล่าวถึงเครื่องหมายรับรองที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและรับรองด้าน EMC โดยมีขอบเขตให้ครอบคลุมตลาดที่สำคัญให้มากที่สุด จะต้องเข้าใจแนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ EMC directive ของผลิตภัณฑ์ โดยดูที่ขอบเขตตลาดเป็นหลัก เครื่องหมายหรือสลากจะเป็นประกาศรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละเครื่องหมายระบุไว้นอกเหนือไปจากจะคุ้มครองผู้บริโภคแล้ว ยังจะทำให้ผู้ผลิตสามารถขยายขอบเขตตลาดออกไปได้อีกด้วย

เครื่องหมายรับรองในยุโรป
กุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการตลาดในยุโรปคือการวางผลิตภัณฑ์ให้ได้ทั่วยุโรป เครื่องหมายรับรองของแต่ละประเทศมีขอบเขตเฉพาะประเทศ เช่น เครื่องหมายรับรอง VDE (German lnstitute of EIectricaI Engineers หรือ Verband Deutscher EIektrotecniker) หรือ TUV ของเยอรมันที่ติดอยู่บนตัวผลิตภัณฑ์ก็จะวางขายได้เฉพาะในเยอรมัน แต่ถ้ามีเครื่องหมายรับรอง CE Marking (Communaute Europeenne) ติดอยู่ด้วย ก็จะสามารถวางผลิตภัณฑ์ ให้ขายได้ทั่วยุโรป ตาม EMC regulations 1992 ที่ภายหลังคือ EMC directive 89/336/EEC ซึ่งมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นมา เครื่องหมาย CE มีหน้าตาดังนี้โปรดสังเกตุของแท้จะมีขีดกลางตัว E จะสั้นกว่าขอบบนล่าง และส่วนโค้งตัว C กับ E จะยาวเกินครึ่งวงกลมมาหน่อยหนึ่ง เป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ ถือว่าปลอมไม่แนบเนียนนะท่าน

ขั้นตอนการให้ได้มา CE Marking อย่างถูกต้อง ใครก็ได้ที่มันใจว่าผลิตภัณฑ์เจ๋งพอก็ปิดรับรองตัวเองได้เลยที่ถูกแล้วควรได้รับการทดสอบด้าน EMC และด้านอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยจากหน่วยงานหรือห้องทดสอบที่ได้มาตรฐาน หากไม่ได้ทดสอบจริงแล้วติดฉลาก ได้ไม่เท่าเสียครับท่าน เพราะท่านจะได้รับเกียรติเป็นจำเลยที่ 1 ครับท่านหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา (จริงคือแปะติดเองโรงงานนั่นแหละและเป็นการรับรองตนเอง ขอย้ำนะครับว่าCE เป็นฉลากหรือเครื่องหมาย ไม่ใช่มาตรฐาน )
- Conformity assessment
เพื่อจัดทดสอบตาม directive ที่เกี่ยวข้องมีสามเส้นทางคือ standard, TCF, EC Type examination
- Declaration of conformity
คือการประกาศ / แสดง รับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปตามเงื่อนไขของ directive นั้น
- Marking
คือเครื่องหมายที่ใช้ติดบนผลิตภัณฑ์หรือตำแหน่ง อื่น ๆ

เครื่องหมายรับรองในอเมริกา
Federal Communication Commission หรือ FCC รับผิดชอบในขอบเขตที่ไม่ใช่ราชการ แต่ได้รับการยอมรับมากในด้านเครื่องมือทางสื่อสาร โดยได้แบ่งการปล่อยคลื่นรบกวนออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
- Tvpe acceptance
ขึ้นอยู่กับข้อมูลทดสอบจากผู้ผลิตหรือผู้ได้รับอนุญาติ ซึ่ง FCC อาจเลือกมาทดสอบได้
- Type ApprovaI FCC
จะทดสอบเองตามข้อกำหนดของ FCC
- Certification
ขึ้นอยู่กับข้อมูลทดสอบจากเฉพาะผู้ผลิตซึ่ง FCC อาจเลือกมาทดสอบได้
- Verification
โดย FCC จะสุ่มตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ผลิตทำการทดสอบเองได้ตามต้องการ
- Notification
ในระดับนี้ FCC อาจไม่ต้องการข้อมูลละเอียด

นอกจากเครื่องหมาย FCC แล้วยังมีเครื่องหมายอื่นอีกมาก เช่น UL (Underwriters Laboratory) ซึ่งมีหน่วยงานของ UL ทดสอบและรับรองทั้งที่เป็นเครื่องมือหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์

ข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement, MRA) การแตกต่างกันระดับแรงดันไฟฟ้าและความถี่รวมถึงสภาพภูมิประเทศทำให้ทั้งสองกลุ่มมีการทดสอบที่แตกต่างกัน ปัญหานี้ได้มีการพิจารณาร่วมกันหลายๆครั้งเพื่อจะลดปัญหานี้ให้หมดไป ข้อตกลงรับรองระหว่างกันจึงได้เกิดขึ้น
- ข้อตกลงยอมรับร่วมระหว่างอเมริกาและยุโรปซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลกได้ใช้เวลา 4 ปีต่อรองกันจนถึงปี พ ศ. 2539 ก็ได้ชัดเจนขึ้น มีวัตถุประสงค์ที่จะกำจัดข้อกีดกันทางการค้า โดยการที่ทั้งสองกลุ่มใหัการรับรองผลการทดสอบซึ่งกันและกัน
- สำหรับเรื่องข้อตกลงยอมรับร่วม พี่ไทยเราก็กำลังคิดทำครับท่าน
หมายเหตุข้อตกลงรับรองระหว่างกันทำนองนี้ ระหว่างคานาดากับยุโรปได้ทำมาก่อนแล้วโดยมีบางขอบเขตคล้ายๆกัน

ประเทศนกลุ่มทั้งสองจะได้ทดลองปฏิบัติตามข้อตกลงรับรองระหว่างกันช่วงเวลาทดลองนี้ The National lnstitute of Standards and Technology (NIST) จะพัฒนาให้ผู้รู้เรื่องของอเมริกา ประเมินว่าผลิตภัณฑ์และคุณภาพของระบบเข้ากันได้กับมาตรฐานของยุโรปให้ได้ เช่นหาทางให้ลูกค้าติดเครื่องหมาย CE Marking ให้ได้ สำหรับในยุโรปเองผู้รับรองแต่ละประเทศที่สมัครผ่าน Nationally Recognized Testing Laboratory, NRTL ก็จะทำเช่นกันเพื่อที่จะติดเครื่องหมายรับรองของอเมริกาได้ ผลที่เกิดขึ้นต่อการยอมรับผลิตภัณฑ์คือ สำหรับตลาดผู้บริโภคแต่ละประเทศอาจจะไม่มีผลมากนัก แต่สำหรับผู้ผลิตจะสามารถเลือกผู้ทดสอบและรับรองได้หลากหลาย

ปัจจุบันหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลการทดสอบของไทยเรา เริ่มจะถนัดและชำนาญ สะสมประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เถ้าแก่หรือวิศวกรทั้งหลายคิดจะส่งผลิตภัณฑ์ทดสอบที่ต่างประเทศลองติดต่อไปที่นี้ก่อนนะครับ

ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC ของ NECTEC อยู่ข้างสระว่ายน้ำพระเทพฯ บ้านเก่าเราที่ลาดกระบังไงท่าน โทร 02-739-2190-4 ( แน่ะทันสมัยเสียด้วย โทรเลข 8ตัวนะท่าน เดี๋ยวเชยแย่

อีกที่คือ ศูนย์ทดสอบของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) ที่พี่ดร. โกวิท มาศรัตน์ เป็นเจ้านายใหญ่อยู่ที่นั่น บางปู ซอย 8 ไกลหน่อย แต่ใหญ่กว่าติดปัญหาอะไรโทรได้ที่ 02-709-4860-8 ครับท่าน

ส่วนข้อมูลด้าน EMC ของแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาคเป็นอย่างไรแวะหาได้ทีห้องสมุด สมอ. ถนนพระรามหกถือว่าเป็น one stop shopping ด้านข้อมูลเลยทีเดียว

อย่าลืมนะท่าน ผมจะปิดท้ายในบทความชุดนี้ ในตอนหน้ามันเป็นตอนที่สี่ (ตอนจบ) จะเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตของไทยหาเส้นทางพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึง EMCTIP มุ่งเข้าสู่มาตรฐาน EMC ระหว่างประเทศรวมกับมาตรฐานอื่นที่สอดคล้องเพื่อการส่งออกและยกระดับมาตรฐานสินค้าของไทยสู่สากล</FONT color>

สรุป
เถ้าแก่ที่ต้องการส่งออกอย่าลืมค่ายกล 4 ค่าย และควรจะวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับทิศทางของ EMC ในปัจจุบันและต้องดูผลกระทบจากข้อตกลง รับรองระหว่างกันระหว่างอเมริกาและยุโรปที่จะเกิดขึ้นอีกสองปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายในการทดสอบก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ผลิตรายย่อยของไทยดังนั้นการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน EMC อย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญในธุรกิจการส่งออก มาตรฐานและข้อกำหนดด้าน EMC ระหว่างประเทศ และของไทย รวมถึงการศึกษา วิจัยและบริการด้านการทดสอบ EMC ในประเทศไทยลองติดตามดูนะท่าน เซ็งลี้ฮ้อๆ เด้อ

วันที่บทความ : 01 ก.ค. 2544 ที่มา : ร.อ. ผศ. ดร. วีระเชษฐ์ ขันเงิน

เครดิต:www.kmitl.com/article.php?articlecat=3&articleid=11

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปรียบเทียบราคาระหว่างระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera กับ Analog Camera (ตอนที่2จบ)

 

ช่วงนี้รู้สึกจะมีอะไรอยู่ในหัวสมองมากมายจน เริ่มเบลอๆ ลืมๆ แฮะๆๆ เอาละมานั่งเขียนบทความต่อเลยครับ เล่าถึงเรื่องราคาระหว่างกล้อง Analog กับ กล้อง IP ต่อเลยครับ จำได้แล้วตอนที่ 1 พูดถึง การติดตั้งกล้องที่ โรงงเรียน 30 กล้องมีแบบให้เรียบร้อย เอาละมาต่อกันเลย

image

รายละเอียดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ระหว่างกล้อง Analog กับ กล้อง IP เอาละ ผมสรุปเลยละกัน เพื่อให้กระชับฉับไว

image

เอาละ หลังจาก รวมราคาทั้งหมดจะเห็นว่า กล้อง IP จะถูกกว่ากล้อง Analog ในระบบนี้

image

ขยายความหน่อยว่าถูกว่ายังไง จะเห็นว่าค่าแรงติดตั้งกล้อง Analog จะแพงกว่า IP นะครับ ค่าเครื่องบันทึกภาพ HDD ก็แพงกว่า IP ค่าสายสัญญาณก็แพงกว่า IP จากกราฟจะเห็นว่าที่ IP แพงกว่า Analog จะมีแค่ ตัวกล้องเท่านั้น

 

image

 

ขยายความเพิ่มเติม จากกราฟจะเห็นว่า ถ้าระบบมีจำนวนกล้องตำกว่า 17 ตัวลงมา กล้อง IP จะแพงความกล้อง Analog และตั้งแต่ 17 กล้อง – 30 กล้อง จะเท่ากัน แต่ถามว่าในอนาคต ละ เราก็ต้อง เลือก IP ส่วนถ้ามากกว่า 31 กล้องขึ้นไป แน่นอนเลยว่า IP ถูกกว่าครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก AXIS ครับ
และในครั้งต่อไปผมจะมาเล่าถึงว่าเราจะเลือกกล้องวงจรปิดอย่างไร ทั้ง Analog และ IP เนืองจากว่าตอนนี้มีเยอะเหลือเกินในตลาด

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปรียบเทียบราคาระหว่างระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera กับ Analog Camera (ตอนที่1)

total Cost of Ownership (tCO)

Comparison of IP- and analog-based surveillance system

 

คำถามที่หลายท่านสงสัยคือ ราคาระหว่างกล้อง Analog ระบบเดิม กับราคา ระบบกล้อง IP Camera ต่างกันเท่าไหร่ ??? แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ???

เรามาคลายความสงสัยกันเลย

 

มาดูก่อนว่าระบบกล้อง Analog มีอะไรบ้าง หลักๆ จะมีกล้องและเครื่องบันทึกภาพ สายสัญญาณ

ส่วนระบบกล้อง IP จะมีอุปกรณ์หลักๆ คือ กล้อง IP , Switch Hub,Server และ Software

 

กรณีศึกษาเราคือ มีโจทย์ว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่งกำลังก่อสร้าง ต้องการระบบกล้องวงจรปิดตามรายละเอียดดังนี้

จำนวนกล้อง

1. 30 กล้อง fix dome cameras ติดตั้งภายใน

2. 5 กล้อง Outdoor fix dome cameras ติดตั้งภายนอก

3. 5 กล้อง Outdoor PTZ Cameras ติดตั้งภายนอก

4. กล้องทุกตัว ทนแดด ทนฝน

 

การบันทึก

1. บันทึก 12 ชม ต่อวัน

2. บันทึกที่ 4f/s ต่อเนื่อง

3. บันทึกที่ 15f/s เวลาที่มีการเคลื่อนไหว (Motion Detect)

4. ความละเอียดภาพที่บันทึก CIF

5. เก็บข้อมูลอย่างน้อย 12 วัน

 

มีแบบตำแหน่งกล้องดังนี้

 

image

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามต่อในตอนที่ 2 ว่าจะเป็นอย่างไร ???

POE คืออะไรใครรู้บ้าง

   POE หรือ Pwer Over Ethernet คือ เทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากสาย UTP ที่เหลืออยู่ ซึ่งสาย UTP นั้นมี 4 คู่สาย ส่วนมากใช้งานเพียง 2 คู่ จะเหลือ 2 คู่ POE นั้น เกิดเมื่อปี 2003 ชื่อมาตรฐาน คือ IEEE 802.3af โดยไฟที่ส่งไปนั้นเป็นไฟกระแสตรงจึงไม่มีการรบกวนสัญญาณแต่อย่างใด โดยทั่วไปอุปกรณ์ POE จะใช้แรงดันประมาณ 48 V กินไฟสูงสุดประมาณ 13 W เราจะเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ง่ายๆ ว่า Injector (ตัวส่ง), Picker (ตัวรับ) หรือ Power Sourcing Equipment (PSE; ตัวส่ง), หรือ Power Device (PD; ตัวรับ) ก็ได้

ทำไมควรเลือกใช้ POE

  • ประหยัดกว่าการเดินสายแบบปกติ เพราะอุปกรณ์น้อยกว่า
  • ลดขีดจำกัดการออกแบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก
  • ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง
  • ลดความเสี่ยงเรื่องอันตรายจากไฟฟ้าดูด
  • สามารถใช้งานในฟังก์ชั่น SNMP Network ได้

ประโยชน์และข้อดีที่ได้รับจาก POE

  • สามารถใช้อุปกรณ์ Network ต่างๆ เช่น Access Point, IP Camera โดยไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟฟ้า
  • ลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเดินสายไฟไปพร้อมกับสาย UTP
  • ทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้อุปกรณ์ต่าง
  • มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากใช้ไฟฟ้าแรงดันต่ำและเป็นไฟกระแสตรง
  • สามารถนำมาติดตั้งเพิ่มเติมกับระบบเดิมได้

ที่มา :: เอกสาร Interlink Vol.10 No.121 October 2008 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Power_over_Ethernet

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด ตอนจบ (5)

ความรู้เพิ่มเติม

การเลือกชนิดของกล้องโทรทัศน์วงจรปิดให้เหมาะกับการใช้งาน ควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ :

q ระบบกล้องที่ใช้ทั่วไปแบ่งออกเป็นชนิด CCIR ( PAL ) และ EIA ( NTSC ) กล้องระบบ CCIR เป็นระบบมาตรฐานยุโรป 625 เส้น 220 โวลต์ 50 เฮิรตช์ ส่วน EIA เป็นระบบมาตรฐานอเมริกัน 525 เส้น 110 โวลต์ 60 เฮิรตช์ กล้องที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยเป็นระบบ CCIR

q ขนาดของแผ่นรับภาพ ( Sensor format ) ขนาดของแผ่นรับภาพแต่ละขนาดจะมีผลต่อความละเอียดของภาพ

( Numbers of pixels ) และการเลือกใช้เลนส์ให้ได้มุมมองของภาพตามต้องการ

q ความสว่าง ( Illumination ) คุณสมบัติของอุปกรณ์รับภาพของกล้องนั้นไม่ใช่มีผลเฉพาะต่อความไวที่มีต่อแสงสว่างเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อสีของวัตถุอีกด้วย คุณภาพของภาพที่ดีจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงที่ฉากรับภาพ ในกรณีของกล้องสีต้องคำนึงถึงอุณหภูมิสี ( Colour Temperature) ที่ได้จากแสงสว่างร่วมกันกับแหล่งกำเนิดแสงทั่ว ๆ ไป เพราะประกอบด้วยแสงสีชนิดต่าง ๆ รวมกัน และแสงบริเวณรอบ ๆ กล้องจับภาพจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้แสงไม่คงที่เสมอไป

การกำหนดค่าความสว่างของกล้อง ( หน่วยเป็นลักซ์ ) นั้นต้องคำนึงถึงความสว่างของพื้นที่กล้องจับภาพ, การสะท้อนของแสงที่ฉากรับภาพ, ระยะห่างของวัตถุฉากรับภาพถึงตัวกล้อง ซึ่งทำให้อัตราการสูญเสียของแสงที่หายไปรวมถึงการเลือกใช้ชนิดของเลนส์เป็นองค์ประกอบการพิจารณาด้วย

โดยทั่วไปกล้อง CCD สามารถแบ่งตามคุณสมบัติของความสว่างได้ 3 ระดับ คือ

o กล้องที่ใช้ในกิจการทั่วไป ต้องการความสว่างตั้งแต่ 5-2,000 Lux

o กล้องที่ใช้ในกิจการความปลอดภัยสูง ต้องการความสว่างตั้งแต่ 0.1-5 Lux

o กล้องที่ใช้ในกิจการพิเศษโดยเฉพาะอย่าง ต้องการความสว่างตั้งแต่ 0.0001-0.1 Lux

q ระบบซิงค์ ( Synchronization ) โดยทั่วไปกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจะมีวงจรกำเนิดซิงค์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ซิงค์ของกล้องแต่ละตัวจะไม่ตรงกัน หากเรานำกล้องหลาย ๆ ตัว มาใช้ร่วมกันโดยผ่านเครื่องลำดับภาพและแสดงภาพบนจอมอนิเตอร์ จะสังเกตเห็นได้ว่าในขณะที่เครื่องลำดับภาพสลับภาพจากกล้องหนึ่งไปยังอีกกล้องหนึ่งนั้น ภาพจะกระตุกในแนวตั้งบนจอมอนิเตอร์ ซึ่งจะมีผลต่อการบันทึกเทปวิดีโอ เมื่อนำเทปวิดีโอนั้นมาเล่นสลับทำให้ภาพล้มเป็นช่วง ๆ ตามจังหวะ การสลับภาพของเครื่องลำดับภาพ

q ความคมชัดของภาพ ( Resolution ) กล้องที่มีความคมชัดสูงจะให้ภาพที่คมชัด ซึ่งคุณสมบัตินี้นับว่าเป็นพื้นฐานของการเลือกชนิดของกล้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละโรงงานให้เหมาะสมกับการใช้งานในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 4

สำหรับสถานที่ที่จำเป็นต้องส่องกล้องย้อนแสง เช่น ร้านทองที่ต้องการส่องกล้องมองลูกค้าย้อนไปทางด้านหน้าร้าน ฟังก์ชัน A.E.S. อาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานย้อนแสง เพราะภาพที่เห็นบนจอโทรทัศน์จะเห็นหน้าคนมืดๆ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพมีแสงเข้ามามาก ตัวกล้องจึงปรับลดแสงลงจนหน้าคนมืดไป

ตัวอย่างภาพที่ส่องกล้องย้อนแสงออกไปด้านนอกร้าน ซึ่งกล้องทั่วไปจะเห็นภาพมืด

(เพราะฟังก์ชัน A.E.S. ช่วยปรับแสงอัตโนมัติ)

clip_image001

วิธีการแก้ไขมี 2 ทางคือ พยายามกดมุมกล้องลงต่ำ หรือหันมุมกล้องไปในทิศทางที่หลบแสง หรือไม่สู้แสง แต่ถ้าจำเป็นต้องหันมุมกล้องไปในทิศทางที่ย้อนแสง ให้เลือกกล้องรุ่นที่สามารถย้อนแสงได้

กล้องที่สามารถย้อนแสงได้ จะมีปุ่มผลักด้านหลังกล้อง เพื่อตัดการทำงานของฟังก์ชัน AES ทิ้งไป โดยกลายเป็นการใช้งานฟังก์ชัน Back Light Compensation (BLC) แทน ซึ่งการใช้งานฟังก์ชัน BLC เมื่อท่านส่องกล้องย้อนแสงไปในที่ที่มีแสงมากๆ แทนที่ภาพจะถูกปรับให้มืดลง ภาพจะยังคงสว่างอยู่ (หรือบางรุ่นจะเพิ่มแสงให้กับภาพอีก) ทำให้ภาพหน้าคนตรงกลางภาพ สว่างขึ้นมา (ภาพ Background ด้านหลัง จะสว่างมาก ซึ่งปกติก็จะไม่แคร์ Background ด้านหลังอยู่แล้ว)

ตัวอย่างการทำงานของกล้องที่มีปุ่มผลักด้านหลัง ใช้งานฟังก์ชัน BLC

clip_image003 clip_image005

ภาพเริ่มต้น เมื่อใช้งานฟังก์ชัน A.E.S. ภาพหลัง หลังจาก ตัดการใช้งานฟังก์ชัน A.E.S.

แต่เปิดการใช้งานฟังก์ชัน BLC

9. BACK LIGHT COMPENSATION ( BLC ) และ AUTO GAIN CONTROL ( AGC )

การส่องกล้องย้อนแสง แล้วใช้ฟังก์ชัน B.L.C. ฟังก์ชันนี้จะช่วย boost แสงขึ้นมาที่ด้านหน้าตรงกลางภาพ ทำให้มองเห็นภาพบริเวณด้านหน้าได้ชัดเจน ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะสว่างมาก จนดูไม่รู้เรื่องเลย

การใช้ BLC mode เหมาะกับการใช้ในร้านขายทอง ที่ติดกล้องหันไปทางด้านนอกร้าน และเน้นภาพชัดเจนบริเวณด้านหน้าของภาพ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ภายในร้าน

ฟังก์ชัน AGC จะช่วยในการเฉลี่ยแสงของภาพโดยรวมให้ดีขึ้น คือภาพทั้งภาพ จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไม่ได้เน้นเฉพาะจุดที่ด้านหน้าภาพเหมือน BLC

clip_image006 clip_image007 clip_image008

A.E.S. BLC AGC

กล้องทั่วไป กล้องที่ย้อนแสงได้ มี BLC กล้องที่มี Auto Gain Control

10. Auto Iris

กล้องใด ระบุ SPEC ว่ามี Auto Iris หมายถึง กล้องนั้น Support ที่จะใช้งานคู่กับเลนส์แบบ Auto Iris ได้

เลนส์ Auto Iris มี 2 แบบ คือ แบบ Video Drive และ DC Drive ซึ่งเลนส์ Auto Iris ทั้ง 2 แบบ จะมีสายสัญญาณ 4 เส้น ที่จะต้องต่อเข้ากับตัวกล้อง ซึ่งเฉพาะกล้องที่มีหัวต่อ Auto Iris เท่านั้น จึงจะใช้งานคู่กับเลนส์ Auto Iris ได้

ตัวอย่างด้านหลังของกล้อง FN-311 ที่สามารถต่อเข้ากับเลนส์ Auto Iris ได้

clip_image010

กล้องบางรุ่น Support เลนส์ Auto Iris ทั้งแบบ Video Drive และ DC Drive ซึ่งกล้องประเภทนั้น จะมีปุ่มสวิทช์ให้ผลักเลือกระหว่าง Video Drive และ DC Drive

clip_image012

11. WATER PROOF

จะระบุใน spec สำหรับกล้องพิเศษที่กันน้ำได้, สามารถนำไปติดตั้งภายนอกอาคาร โดนฝนได้

clip_image015

กล้องบางรุ่น ออกแบบมาสำหรับจุ่มน้ำได้ นั่นคือสามารถติดกล้องใต้น้ำในระยะ 30 เมตรได้ ซึ่งเรียกว่ากล้อง Special ประเภท Submersible Camera

12. MICROPHONE (Mic.)

กล้องที่ระบุ Mic. จะเป็นกล้องที่มี microphone ในตัว และจะมีช่องสัญญาณ AUDIO OUT ด้วย

clip_image018

13. INFRARED

แสงสีขาว เป็นแสงที่คนเราสามารถมองเห็นได้ ประกอบไปด้วย สี 7 สี โดยแสงที่มีความถี่สูงหรือต่ำกว่านี้ จัดเป็นแสงที่คนเรามองไม่เห็น

clip_image019

รูป 1.6 Spectrum ของแสง

เลนส์ปกติจะมีสารเคลือบ กั้นแสง infrared เพื่อไม่ให้แสง infrared ผ่านได้ และภายในตัวกล้องก็จะมี filter ทำหน้าที่กรองแสง infrared นี้ออกไปอีกด้วย เพราะกล้องสีจะให้ภาพสีสวยสด เมื่อไม่มีแสง infrared มารบกวน

ตามธรรมดาแล้ว แสงที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นแสงสีขาว ( ประกอบด้วย 7 สี ) และสามารถมองเห็นได้ โดยแสงจะไปกระทบวัตถุและสะท้อนกลับมายังเลนส์ แล้วตกยังฉากรับภาพ, แต่ในสถานที่ที่มีปริมาณแสงน้อย ( ที่มืด ) กล้อง infrared จะทำหน้าที่ปล่อยแสง infrared ไปกระทบวัตถุ และสะท้อนกลับมายังเลนส์ ดังนั้น เลนส์ที่ใช้ จึงต้องเป็นเลนส์ชนิดที่ยอมให้แสง infrared ผ่านได้ ( UNCOATED ) และตัวกล้องเอง จะต้องไม่มี filter ด้วย (กล้องชนิดนั้นจะเรียกว่า IR Camera )

clip_image021

 

กล้อง FN-663L เป็นตัวอย่างของกล้องสี ที่ยอมให้แสง Infrared ทำงานได้ นั่นคือ ยอมรับแสง Infrared ได้

clip_image023

เสริมเพิ่มเติม

ชนิดของเลนส์

UNCOATED - ไม่กั้นแสง infrared

COATED - กั้นแสง infrared ได้บ้าง

MULTI-COATED - กั้นแสง infrared ได้ดี

* ภาพที่ได้จากกล้อง infrared จะเป็น ภาพขาว-ดำ เท่านั้น *

clip_image025 clip_image026

ภาพเมื่อเปิดไฟห้อง ภาพเมื่อปิดไฟห้อง

มีแสงสว่างเพียงพอ อินฟราเรดทำงาน ได้ภาพ ขาว-ดำ

ภาพจริงอาจจะสว่างเฉพาะช่วงกลางๆภาพ

ส่วนขอบๆภาพอาจจะมืดกว่านี้

 

ติดตามต่อในบทความสุดท้ายตอนจบ ตอนที่ 5 ครับ

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 3

เทคนิคการเลือกใช้ขนาดของเลนส์

· 2 mm เป็นเลนส์มุมกว้างที่สุด เหมาะกับการใช้มองในมุมกว้าง ระยะใกล้ เช่น ในลิฟต์

· 8 mm เป็นเลนส์มุมแคบหน่อย เหมาะกับการใช้มองในที่ทางแคบๆ เช่น ทางเดินในอพาร์ทเมนท์ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมองภาพในมุมกว้าง เพราะจะเห็นแต่กำแพง

· 25 mm เป็นเลนส์ที่ใช้สำหรับมองในระยะไกล หรือ ต้องการโฟกัสสิ่งของสำคัญเป็นจุดๆ

ตัวอย่างการใช้เลนส์มุมกว้างมาก เช่น 2mm ในการดูภาพใน Lift

clip_image002 clip_image004

ตัวอย่างการใช้เลนส์มุมกว้างมาตรฐาน เช่น 3.6mm หรือ 4mm ในการดูทั่วทั้งพื้นที่

clip_image006 clip_image008

clip_image010 clip_image012

ตัวอย่างการใช้เลนส์มุมแคบ เช่น 8mm หรือ 12mm ในการดูบริเวณทางเดิน

clip_image014 clip_image016

ตัวอย่างการใช้เลนส์มุมแคบมากๆ เช่น 25mm, 50mm ในการดูภาพเฉพาะที่สนใจ เป็นจุดๆ

clip_image018 clip_image020

1. COLOR

แบ่งเป็น 2 ชนิด คือกล้องสี และ กล้องขาว-ดำ

ประเทศไทยและประเทศในแถบยุโรป ใช้ระบบภาพ ดังนี้

- ภาพสี ใช้ระบบภาพ PAL

- ภาพขาว-ดำ ใช้ระบบภาพ CCIR

ประเทศอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น ใช้ระบบภาพดังนี้

- ภาพสี ใช้ระบบภาพ NTSC

- ภาพขาว-ดำ ใช้ระบบภาพ EIA

2. CHIP TYPE

มี 2 ชนิด คือ CCD และ CMOS

3. RESOLUTION

มีหน่วยเป็น pixels ( pixel คือจำนวนจุดที่ประกอบกันขึ้นเป็นภาพ ยิ่งมี pixel มาก ภาพก็จะยิ่ง

ละเอียดและมีความคมชัดสูง )

4. TV LINES

เป็นตัวที่แสดงความละเอียดของภาพบนจอโทรทัศน์ ซึ่งกำหนดเป็นเส้นตามแนวนอน โดยปกติโทรทัศน์ จะมี TV LINES 380 เส้น

การใช้กล้องที่มี TV LINES สูงๆ ควรจะใช้คู่กับโทรทัศน์วงจรปิดโดยเฉพาะ (CCTV Monitor) เพราะ โทรทัศน์ทั่วไปแสดงรายละเอียดจำนวนเส้น TV LINES ที่ 380 TV LINES เท่านั้น

5. LUX at F-STOP

LUX คือหน่วยที่ใช้วัดปริมาณแสง ( เช่น 0.005 / 1 / 2 / 4 / 5 Lux ) โดยใน spec ของกล้อง จะระบุปริมาณแสงที่เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อที่จะได้ภาพที่ชัดเจน

F-STOP เป็นคุณสมบัติของตัวเลนส์เอง ซึ่งเทียบได้กับความหนาของเลนส์ ( มี F 1.2 / F1.4 / F2.0 )

ซึ่งถ้า F-stop น้อย เปรียบเทียบได้กับเลนส์บาง แสงจึงผ่านได้ดี ส่วน F-stop มาก เทียบได้กับเลนส์หนา แสงจะผ่านได้ไม่ดี ( เลนส์ F1.2 เป็นเลนส์กระจก ใช้งานได้ดี ผลิตในญี่ปุ่น ส่วนเลนส์ F2.0 เป็นเลนส์พลาสติก ผลิตในเกาหลี ) ส่วนใหญ่ เลนส์ Manual Iris และเลนส์ Auto Iris จะเป็นเลนส์ดี ประเภท F1.2 และ F1.4

ตัวอย่าง 0.5 Lux at F1.2 หมายความว่า กล้องต้องใช้ปริมาณแสง 0.5 Lux ( หรือมากกว่า ) เมื่อใช้กับ

เลนส์ F1.2 ในการที่จะได้ภาพชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่า หากใช้กับเลนส์ F2.0 ก็จะต้องการปริมาณแสงเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะต้องการแสง 2 Lux หรือ 4 Lux เลยก็ได้

6. AUTO WHITE BALANCE (AWB)

เป็นการปรับสีอัตโนมัติ ซึ่งเป็น spec ของกล้องสีเท่านั้น โดยปกติ กล้องสีเกือบทุกรุ่นจะมี AUTO WHITE BALANCE อยู่แล้ว

7. SIZE & WEIGHT

สำหรับกล้องจิ๋ว ที่มีลักษณะพิเศษ คือขนาดเล็กหรือน้ำหนักเบา จะมีการระบุขนาดของกล้องไว้ด้วย เช่น 17mm*17mm , Light Weight

8. Auto Electronic Shutter (A.E.S.)

กล้องสีทุกรุ่น มีฟังก์ชันนี้อยู่แล้ว เป็นฟังก์ชันในการปรับแสงอัตโนมัติของแผงวงจรกล้อง โดยสามารถทดสอบได้ด้วยการส่องกล้องไปในที่ที่มืดหน่อย ภาพจะถูกปรับให้กลับมาสว่าง แต่ถ้าส่องกล้องไปยังที่สว่างๆ ภาพจะถูกปรับให้มืดลง ปกติถือว่าฟังก์ชันนี้ จะเป็นฟังก์ชันมาตรฐานของกล้องทุกตัว ซึ่งฟังก์ชันนี้เหมาะสมอยู่แล้ว

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 2

ชนิดของ CHIP

clip_image002

CHIP เปรียบเสมือนฉากรับภาพ ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า แบ่งได้ 2 ชนิด คือ

1. CCD - เป็น chip ที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ได้แม้มีปริมาณแสงน้อย

- มี resolution ประมาณ 512H*582V ( 290K / sqr.in. )

- ผลิตที่ญี่ปุ่น

2. CMOS - เป็น chip ที่ต้องใช้ปริมาณแสงมากกว่า CCD ในการที่จะให้ความคมชัดเท่า ๆ กัน

ดังนั้น chip แบบ CMOS จึงเหมาะที่จะใช้กับกล้องขาว-ดำ ที่ใช้ปริมาณแสงน้อยใน

การสร้างภาพ, CMOS มีความคมชัดสูง

- มี resolution ประมาณ 628H*582V ( 330K / sqr.in. , Hi-Resolution )

- - ผลิตที่อเมริกา, จีน

· CMOS มี resolution มากกว่า CCD แต่ เป็นเพียงแค่ Specification เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่ได้จาก ชิป CMOS จะไม่ค่อยชัดเท่ากับชิป CCD และถ้าในที่ที่มีแสงน้อย ภาพจะไม่ค่อยชัดเจน

CCD BRAND

CHIP แบบ CMOS จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แต่ CHIP แบบ CCD จะมีคุณภาพแตกต่างกันไปตามบริษัทผู้ผลิต

1. SONY คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีอบอุ่น เช่นสีแดง เหลือง

ชิป SONY มีหลายรุ่น เช่น Super HAD, Exview

2. PANASONIC คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีเย็น เช่น ฟ้า น้ำเงิน ส่วนสีอย่างสีแดงจะดูหม่นจน

กลายเป็นสีม่วง

3. SHARP คุณภาพปานกลาง ภาพที่ได้จะคมสู้ SONY, PANA ไม่ได้

ถ้าแสงปกติ ภาพจะสวยดี, ที่แสงน้อย ภาพอาจขึ้น SNOW เร็ว

4. SAMSUNG เรานำเข้ามาเฉพาะชิปขาว-ดำ ให้ภาพสว่างสดใส

 

เทคนิคการดูสี CHIP

กล้องขาว-ดำ สีของ CHIP จะอ่อน , กล้องสี สีของ CHIP จะเข้ม

 

CHIP SIZE

ขนาดของ CHIP ยิ่งใหญ่จะยิ่งดี เนื่องจากมีพื้นที่ในการรับแสงมาก จะได้ภาพที่คมชัด ซึ่งก็จะมีราคาแพง

ขนาดของ CHIP แบ่งเป็น

1. 1/2” ไม่ขาย เพราะมีราคาแพงมาก, แม้ว่าขนาดของ chip จะใหญ่ ดี แต่ราคาแพง

2. 1/3” กล้องสีบางรุ่นใช้ชิป 1/3” มีราคาแพงกว่าชิป 1/4” แต่ได้มุมภาพที่กว้างกว่าชิป 1/4”

3. 1/4” กล้องสีทั่วไปที่เราขาย ส่วนใหญ่เป็นชิป 1/4” clip_image006

รูป 6 ขนาดของ CHIP

· ชิปที่มีขนาดใหญ่ จะให้ภาพละเอียดและ มุมภาพกว้างขึ้น กว่าชิปที่มีขนาดเล็ก

· เลนส์จะต้องสร้างภาพที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับชิป หากชิปมีขนาดใหญ่ เลนส์ก็ยิ่งแพง

· เลนส์ที่ทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/2” จะสามารถใช้กับชิปขนาด 1/2”, 1/3” และ 1/4” ได้

· เลนส์ของเราทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/3” ซึ่งสามารถใช้กับชิปขนาด 1/3” และ 1/4” ได้

· กล้องขาว-ดำทุกรุ่นที่เราขาย มีขนาดชิป 1/3” เพราะมีราคาถูกอยู่แล้ว

ระยะโฟกัส

เลนส์แบ่งตามการปรับระยะโฟกัส มี 3 ชนิดหลัก ๆ คือ

q Mono focal : ระยะโฟกัสจะถูกกำหนดไว้ตายตัว จะเปลี่ยนไม่ได้ เช่น 4 มม.

q Zoom : สามารถปรับระยะโฟกัสได้ภายในช่วงที่กำหนดไว้ เช่น 2.8-12 มม. และเมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัสแล้ว จุดรวมแสงของเลนส์ก็จะยังคงอยู่

q Vari-focal Zoom : เมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัส เลนส์จะต้องถูกปรับจุดรวมแสงใหม่ ซึ่งชนิดที่ใช้กันทั่วไปคือขนาด 3.5-8 มม.

 

ระยะโฟกัสของเลนส์กับมุมการมองเห็น

ANGLE OF VIEW

SIZE OF LENS

WIDE ANGLE

C-MOUNT LENS

BOARD LENS

(degree)

2 mm

2 mm

> 90

4 mm

3.6 mm

78

6 mm

6 mm

50

8 mm

8 mm

30

12 mm

12 mm

20

16 mm

-

12

· ระยะโฟกัสกับขนาดของเซนเซอร์จะให้มุมในการมองเห็นที่ต่างกัน

· เลนส์ระยะโฟกัสน้อยจะให้มุมที่กว้างกว่าระยะโฟกัสมาก และมองเห็นชัด สำหรับระยะใกล้ๆ

· ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างมากๆ เช่น 2 mm จะเริ่มเห็นภาพเป็น เส้นโค้งๆ

· เลนส์มาตรฐานที่ให้ไปกับตัวกล้อง เป็นเลนส์ขนาด 4mm ซึ่งได้มุมที่กว้างพอสมควร

· เลนส์ขนาดเดียวกัน หากใช้กับ CHIP ขนาด 1/3” ก็จะมองเห็นมุมที่กว้างกว่าการใช้ CHIP ขนาด 1/4 ” นิดหน่อย

 

ติดตามต่อในตอนที่ 3 ครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การออกแบบระบบกล้องวงจรปิดระยะไกล

ระบบกล้องวงจรปิดระยะไกล

ใน ปัจจุบันนี้ระบบกล้องวงจรปิดนั้นเป็นที่ ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะงานโปรเจคใหญ่ๆ อย่างที่ผมจะพูดถึงนะครับ ซึ่งถ้าถามว่าถ้าเป็นระดับอำเภอ/เขต เทศบาลตำบล จังหวัด จะติดตั้งกล้องวงจรปิดจะทำอย่างไร ???? เพราะที่เราทราบกันดีว่า ขีดจำกัดของสายสัญญาณภาพ (Rg6) นั้นได้มากที่สุดแค่ 350 เมตร ถ้ามากกว่านั้น ภาพที่ได้อาจผิดเพีัยนไป เช่น ได้ภาพขาวดำบาง มีสัญญาณรบกวนต่างๆ บ้าง หรือจะเปลี่ยนมาใช้สายสัญญาณที่รองรับได้ระยะไกลๆ มากขึ้น เช่น Rg11 (มากที่สุดได้แค่ 1.3Km) ซึ่งภาพก็อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้างนะครับ บางท่านบอกว่าใส่ อุปกรณ์ขยายสัญญาณ Booter(จะได้สัญญาณรบกวนตามมาด้วย) อย่างที่กล่าวข้างต้น แต่ที่เราต้องการคือเครื่องบันทึก(DVR)อยู่ห่างจากกล้อง(Camera) แต่ละตัวประมาณไม่ต่ำกว่า 20 Km ขึ้นไป สรุปคือจะใช้สาย RG6,11 เดินสายมาที่เครื่องบันทึก (DVR) โดยตรงไม่ได้แล้ว ซึ่งจะต้องใช้ระบบเครื่อข่ายระยะไกลเข้ามาช่วย โดยระบบเครือข่ายระยะไกลในที่นี้จะหมายถึง 2 รูปแบบด้วยกันคือ ระบบเครือข่ายระยะไกลแบบไร้สาย (wireless network) หรือแบบเดินสาย (fiber optic network) ดังนั้น ทุกท่านคงทราบแล้วนะครับ ว่าการออกแบบระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ระยะไกลนั้นต้องมีพื้นฐานความรู้ด้าน 
1. ระบบกล้องวงจรปิดพื้นฐาน (Basic CCTV)
- อุปกรณ์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง (DVR,Camera,Cable,UPS,Monitor,Software)
2. ความรู้ด้านสายสัญญาณ (Cable)
- สายสัญญาณภาพมีอะไรบ้าง (RG6,11,VGA Cable,อื่นๆ)
3. ความรู้ด้านระบบเครือข่าย (Network)
- ระบบเครื่อข่ายมีอะไรบ้าง (ไร้สายWireless,เดินสายWiring Fiber Optic)
- เดินสาย สายสัญญาณระบบเครือข่าย Fiber Optic(single mode,multi mode)
4. ความรู้ด้านเครื่องบันทึกภาพและโปรแกรมควบคุมการใช้งาน 
- DVR & CMS Or EMS Software ควบคุมการทำงาน 



ซึ่งที่ผมเขียนมาข้างต้นนั้นยังมีรายละ เอียดปลีกย่่อยในการออกแบบอีกมากมายซึ่งผมจะพยายามรวบรวมและเขียนให้เข้าใจ ง่ายที่สุด จะพยายามให้ทุกท่านที่ไม่มีพื้นฐานด้านนี้ สามารถออกแบบได้ง่ายๆ โดยใช้เทคนิค ต่างๆ ที่ผมจะแนะนำต่อไปนะครับ ยกตัวอย่างรายละเอียดปลีกย่อย


1. ถ้ามีกล้อง 10 ตัว ต้องการเก็บข้อมูลภาพไว้ 20 วันต้องใช้ ฮาร์ดดิส เก็บข้อมูลขนาดเท่าไหร่ ???
2. ต้องการประหยัดพื้นที่ ฮาร์ดดิส ในการเก็บข้อมูลต้องตั้งค่า DVR อย่างไรบ้าง ????
3. เลือกระยะเลนซ์ เท่าไหร่ ถึงมองได้ครอบคลุม ที่ระยะโฟกัส 10 เมตร ??? เลนซ์มีมุมการรับภาพที่กี่องศา ????
4. เลือกกล้องอย่างไรให้เหมาะสมต่อการใช้งาน ???
5. อื่นๆ อีกมากมาย


นิเป็นตัวอย่างคำถามในเบื้องต้นเท่านั้นนะ ครับ ความจริงยังมีเยอะกว่านี้อีกเอาไว้วันหลังผมจะลงข้อมูลนะครับ ในบทความถัดไปผมจะยกตัวอย่างจริงให้เห็นในการออกแบบระบบกล้องวงจรปิดของ เทศบาลตำบลนะครับ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera

สิ่่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบกล้องวงจรปิด ชนิด ไอพี คาเมร่า คือ

1. ชนิดของกล้องที่ใช้
- กล้องอินฟาเรด ในตัว หรือ อินฟาเรด ภายนอก (สำหรับในพื้นที่ที่มืดสนิท) ซึ่งการที่จะใช้อินฟาเรดภายนอกนั้นต้องคำนึงถึงคุณภาพแสงที่ตัวกล้องสามารถ รับได้ด้วยว่าค่าความไวแสงเท่าไหร่ ( มีหน่วยเป็น Lux ) เพราะถ้าความไวแสงที่กล้องรับได้จำกัดได้แค่ไหน อินฟาเรดที่ติดตั้งไว้ภายนอกก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
- กล้องที่ใช้ออกแบบให้รองรับการจ่ายไฟ ผ่านสาย Lan หรือไม่ (ประหยัดต้นทุนในการเดินสายไฟ เลี้ยงกล้องเนื่องจากรองรับการจ่ายไฟผ่านสาย Lan (PoE standard)
- กล่องครอบกล้องสำหรับภายนอก (Housing) ต้องมีพัดลมระบายอากาศด้วย เพื่อยืดอายุการใช้งาน



2. เลนซ์ที่ใช้ ต้องการระยะโฟกัส ใกล้หรือไกล
- แบบปรับอัตโนมัติ (Auto iris) หรือแบบปรับเองด้วยมือ (manual iris) ถ้าต้องการมุมมองกว้างๆ ก็ใช้เลนซ์ขนาด 2 - 4 mm (มุมมองกว้าง) ระยะใกล้ แต่ถ้าระยะไกลต้องใช้เล่นขนาด 4 mm ขึ้นไปถึงประมาณ 60 mm (มุมมองแคบเฉพาะเจาะจงในจุดที่เราสนใจ ขึ้นอยู่กับระยะในการมอง และจุดติดตั้งกล้องกับระยะโฟกัส ซึ่งต้องสำรวจพื้นที่จริง



3. ระบบสายสัญญาณ ใช้สายหรือไร้สาย ดี
- ต้องสำรวจสถานที่หน้างานติดตั้งจริง เนื่องจากบางโปรเจคนั้น การเดินสายลำบากมาก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เมื่อเทียบกับใช้ไร้สายเข้าช่วย แต่เรื่องเสถียรภาพ ต้องยอมรับว่าไร้สายยังแพ้เดินสาย ซึ่งต้องยอมรับในจุดนี้ ( ถ้าโปรเจคใหนซีเรียสต้องการเสถียรภาพเกือบ100% แนะนำให้เดินสายสัญญาณดีกว่า แต่ถ้าโปรเจคใหนที่ ไม่ค่อยซีเรียสจุดนี้ ไร้สายเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากประหยัดต้นทุนค่าแรงค่าติดตั้งได้เยอะมาก พอสมควร แต่คุณภาพก็ลดลงมาประมาณ 5% ถ้าเทียบกับการเดินสาย

4. สายสัญญาณที่ใช้ ภายในหรือ ภายนอก เดินลอยมีสลิง สำหรับภายนอก หรือ สายเฉพาะพื้นที่พิเศษ
- ส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นสาย UTP Cat5e เป็นมาตรฐาน ถ้า แบนวิท สูงหน่อยก็ใช้ UTP Cat6
- กรณีเดินสายในลิฟท์ ทีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาต้องใช้สาย UTP จำเพาะในการใช้งาน

5. สายไฟฟ้า เมนกล้อง ในการออกแบบที่ดีนั้น
- กล้องทุกตัวต้องจ่ายไฟ มาจากเมนชุดเดียวกัน เนื่องจากสะดวกในการบำรุงรักษาและ สะดวกสำหรับ
การติดตั้งเครื่องสำรองไฟฟ้า กรณีไฟฟ้าดับ กล้องทุกตัวยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ตามระยะเวลาการจ่ายไฟของเครื่องสำรองไฟฟ้าที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ ประมาณ 15 - 30 นาทีแล้วแต่โหลดไฟฟ้าที่ใช้งาน ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานที่ที่คุณภาพไฟฟ้าไม่ดีและไม่มีระบบสำรองไฟของ อาคารสถานที่เพราะถ้าเกิดไฟตก ไฟ กระชาก บ่อย จะทำให้กล้องมีปัญหาได้ทำให้อายุการใช้งานต่ำกว่าปกติ
- ในส่วนของระบบไฟฟ้าของกล้องไอพี นั้น เนื่องจากเป็นระดับแรงดันดิจิตอล ประมาณ 5 - 12 V นั้นไม่ควรที่จะวาง หม้อแปลงไฟ หรือ อแดปเตอร์ของกล้องไว้ที่เมนไฟ เนื่องจากจะทำให้แรงดันไม่พอสำหรับไฟเลี้ยงกล้อง ควรเดินไลน์ 220 V มาที่ตัวกล้องแล้วค่อยใสหม้อแปลงใกล้ๆกล้อง

6.ถ้าเลือกใช้ออกแบบระบบโดยใช้การส่งสัญญาณไร้สาย
- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ระยะการส่งสัญญาณและสัญญาณรบกวนจากภายนอก และในส่วนของการออกแบบระบบไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ไร้สายด้วย เพื่อสะดวกสำหรับการแก้ไขปรับปรุงและซ่อมบำรุงรักษาในระยะยาว ซึ่งไร้สายสามารถส่งสัญญาณได้ไกลเป็นกิโลเมตร ถ้าเทียบราคากับเดินสายไฟเบอร์ออบติกแล้วถือว่าคุ้มกว่ามากในการลงทุน แต่ต้องยอมรับด้านความเสถียรลดลงจากเดินสายประมาณ 5 - 10 %

7. เครื่องบันทึกภาพและแสดงภาพ (Server & monitor)
- สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในส่วนของการออกแบบเครื่องบันทึกภาพนั้น ต้องคำนวณเรื่อง แบนวิท และ พื้นที่ความจุ ฮาร์ดดิสของ Server ว่าต้องการให้บันทึกภาพเก็บไว้อย่างน้อยกี่วัน ปกติ ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ ค่าควาละเอียดในการส่งข้อมูลภาพเสียง ขนาดเท่าไหร่ บันทึกเฉพาะช่วงที่มีการเคลื่อนไหวอย่างเดียว หรือตั้งบันทึกเป็นเวลา ตามตัวอย่างการคำนวณแบทวิทและฮาร์ดดิส เพื่อให้การส่งข้อมูลและการทำงานของระบบไม่มีปัญหาตามมา

ในการออกแบบเบื้องต้นในบทความนี้ผมขอจบไว้ก่อนเพียงเท่านี้ ทั้งนี้ถ้าท่านมีความสนใจ หรือ สงสัยประการใด
โปรดส่งคำถามเพิ่มเติมได้ที่ตามอีเมล์ที่ให้ไว้ ขอบคุณครับ

บทความจาก: CCTVNETWORKDESIGN: ออกแบบระบบกล้องวงจรปิดเครือข่ายระยะไกล,กล้องวงจรปิด,ออก แบบCCTV,cctvnetwork,CCTV: สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera
http://cctvnetworkdesign.blogspot.com
Under Creative Commons License: Attribution

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | coupon codes